เทศน์เช้า

พระสงฆ์

๑๘ มิ.ย. ๒๕๔๓

 

พระสงฆ์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

กุศล อกุศลไง กุศลพาให้ไปดี เราก็ว่ากุศลนี่พาให้ไปดีแล้ว นี่เวลาว่ากุศลทำให้เกิดอกุศล กุศลทำให้เกิดอกุศลนะ แล้วอกุศลทำให้เกิดกุศลก็มี ก็ยังว่าเวลาไปวัดนี่ ไปวัดก็ไปจับผิด มีมากเลยที่ไปหาพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าพูดอะไรจะไปโต้ว่าพระพุทธเจ้าผิด อย่างเช่นพราหมณ์ พราหมณ์ที่ไปหาพระพุทธเจ้าน่ะ

“ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ไหว้ผู้ที่อายุมากกว่า?”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่มีเลยในโลกนี้ที่ว่าอายุมากกว่านะ อายุมากกว่ามันมากกว่าเฉย ๆ แต่ไม่มีใครเลยที่ว่าออกมาจากอวิชชาก่อน”

ในโลกนี้ไม่มีใครประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ยกมือไหว้ใครนะ ไหว้เฉพาะธรรมอย่างเดียว เวลาไปโต้เถียงกับพระพุทธเจ้าแล้ว เสร็จแล้วก็ยอมเป็นลูกศิษย์หมด ส่วนใหญ่จะยอม นี่อกุศลทำให้เกิดกุศล แต่เรากุศลทำให้เกิดอกุศลสิ กุศลไง ไปเรื่อย ๆ ไปวัดเรื่อย ๆ นี่กุศลทำให้เกิดอกุศลอย่างหนึ่งนะ แล้วอย่างนี้ อย่างที่ว่าเป็นกุศลด้วย แล้วไม่เท่ากันนี่ มีนะ มีอยู่ในพระไตรปิฎก

นี่พระไตรปิฎกเหมือนกัน ที่ว่าสามีภรรยา สามีเป็นพรานล่าสัตว์ ภรรยานี่ต้องหาอาหาร แล้วก็หาเครื่องมือส่งสามีทุกวัน แต่ภรรยาทำด้วยไม่เห็นด้วย คัดค้านอยู่ตลอดเวลา ไม่เห็นด้วยเพราะใจเป็นธรรมไง เป็นกุศลว่าสิ่งนี้เป็นวิชาชีพเหมือนกัน เป็นอาชีพของสามีแต่ไม่เห็นด้วย สามีก็ทำไปเพราะด้วยความมั่นใจ สุดท้ายแล้วเวลาตายไป สามีตกนรก ภรรยานี่อาชีพเดียวกัน แต่ภรรยาไปสวรรค์ ได้พระโสดาบันด้วย นี่ในพระไตรปิฎก ภรรยาไปสวรรค์ เพราะว่าความไม่เห็นด้วยอันนั้น

ทีนี้มันก็กลับกัน กลับกันที่ว่า เวลาเราหามานี่ พ่อแม่หามา ลูกก็ใช้ไปด้วย...มี นี่ปัจจุบันเลย เราบวช เรามีเพื่อนอยู่ เขาบวชอยู่ เขาบอกว่าเวลาเขาภาวนาไปนี่ เห็นตัวเองนะ เห็นตัวเองไปปีนอยู่บนกองเหล้า กองขวดเหล้านอกน่ะ เห็นตัวเองปีนอยู่ เราถามเลย

“พ่อมีอาชีพอะไร?”

“เป็นสรรพากร”

นี่เวลาพ่อลูกก็เหมือนกัน พ่อลูกเวลาพ่อหามานี่ ลูกมีกรรมร่วม แล้วได้ใช้ร่วมไง มีใช้ร่วมไป นี่กระแสกรรมมันให้มา แต่ทำไมกรณีพิเศษกรณีของนายพรานนี่ เห็นไหม อาชีพเดียวกัน แล้วทำร่วมกันด้วย แต่เจตนานี่ตรงนี้สำคัญมากเลย ตัวของใจน่ะ ตัวเจตนา แต่ที่เวลาพ่อแม่หามา ลูกใช้ร่วมไปด้วยโดยที่ว่าไม่รู้เรื่องเลย ก็เหมือนที่ว่าพวกเรานี่รู้ นี่ผู้มาฟังธรรมบ่อย ๆ รู้ว่าสิ่งนี้ไม่เป็นโทษ เหมือนถ่านไฟ ถ่านไฟมันร้อน เราจะจับเราก็ต้องหาไม้เขี่ย เพราะมันจับ ถ้าคนไม่รู้นี่จะคว้าถ่านไฟแดง ๆ เลย แล้วจะไหม้มือเต็มที่

นี่ก็เหมือนกัน พอใจรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก การทำนั้นมันก็ทำด้วยความแหยง มันไม่ทำไปด้วยทุ่มไปทั้งตัว มันทำสักแต่ว่าทำ แล้วไม่เห็นด้วย ความไม่เห็นด้วยก็ค้านไว้ มันก็ยกเข้ามาที่เวลาสวดปาฏิโมกข์ของเรานี่ ในธรรมวินัย เห็นไหม ถ้าปาฏิโมกข์นั้นทำผิด แต่พระสงฆ์ส่วนใหญ่เขาทำอยู่ ส่วนน้อยค้านแล้วค้านไม่ได้ พระสารีบุตรไม่กล้าไปชำระพวกวัชชีบุตร แล้วไปค้านอยู่...พอไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ให้ค้านไว้ในใจ”

นี่ให้ใจบอกไม่เห็นด้วย ค้านไว้ในใจว่า สิ่งที่ทำอยู่ สังฆกรรมอันนี้เราไม่เห็นด้วย แล้วเราไม่ร่วมด้วย เราไม่ยอมรับกรรมอันนี้ไง ถ้าร่วมด้วยนะ ก็มีกรรมร่วมไปด้วย ไม่ยอมรับกรรมอันนี้ ว่าเราไม่เห็นด้วย เพราะมันผิด พอมันผิดแต่เราค้านไม่ได้ ค้านไม่ได้เพราะว่าพระพวกนี้ส่วนใหญ่ เราค้านไปเราจะมีโทษ คือว่าเขาอาจจะทำร้ายร่างกายก็ได้ ให้ค้านไว้ในใจ

ย้อนกลับมาว่าใจนี่สำคัญที่สุด เจตนาของใจสำคัญที่สุด ไม่เห็นด้วย ถึงทำร่วมกัน ยังไม่รับโทษเหมือนกันเลย แต่เวลาที่เราทำร่วมกันนี่ อย่างที่ว่าพ่อแม่หามา ลูกไม่รู้เรื่องเลย นี่ไปตามกระแสกรรม กรรมมันให้ผลไป ถึงบอกเกิดมาในตระกูลของสัมมาทิฏฐิประเสริฐที่สุด เกิดมาในตระกูลสัมมาทิฏฐิพ่อแม่จะพามาเลย สังเกตเดี๋ยวนี้มีมากเลยที่พ่อแม่จะพาลูกเข้ามาวัด

แล้วลูกเล็ก ๆ เดี๋ยวนี้นะ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ เด็กเดี๋ยวนี้ให้ค้นพระไตรปิฎก เมื่อวานเขาพามาด้วย ๓ ขวบ อยู่วัด... “นะโม ตัสสะ...” ท่องได้หมดเลย สวดมนต์ได้เลย เด็กอายุ ๓ ขวบ บอก “ครูสอน ๆ” เห็นไหม ตอนนี้ศีลธรรมเราก็เริ่มดี ถ้าฟื้นขึ้นมาตอนนี้มันจะฟื้นดีขึ้น ต่อไปพวกคฤหัสถ์จะแน่นกว่าพวกพระอีกด้วยนะ เพราะคฤหัสถ์นี่อ่านเรียนเอาเลย แต่ได้มาก็ได้สุตมยปัญญา เวลาไปหาพระที่เขาถามเมื่อก่อนไง ถามว่า

“จำเป็นต้องไปหาพระไหม?”

บอกว่า “ถ้าปวดหัวตัวร้อนนี่ บางทีก็ไม่จำเป็น”

“เพราะอะไร?”

“เพราะไข้มันเป็นแล้วมันหายเองได้ แต่เวลาเป็นไส้ติ่งขึ้นมานี่ ต้องไปผ่าตัดนะ ไส้ติ่งก็ไส้ติ่งแตกตาย”

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาอยู่ที่บ้าน เหตุที่ว่าเจริญแล้วเสื่อมน่ะ สมาธินี่มันแก้ไขได้ แต่เวลาเราไปเจอเหตุการณ์อย่างนี้ อันนี้จำเป็น จะไปวัดนี่ สำคัญต้องไปวัดไหม ถ้าเราศึกษามา เราอ่านมาจนเรารู้หมดแล้ว พระไตรปิฎกเรารู้หมดเลย เรารู้มันสุตมยปัญญา แต่เวลาเราไปเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า...ทำไม่ถูกหรอก ทำไม่ถูก มันจะต้องอาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยตรงนี้ อาศัยผู้ที่ผ่านแนวทางนี้แล้วเป็นผู้ชี้นำ

นี่ที่บอกว่า ทำไมต้องติดครูบาอาจารย์ ติด...ต้องติด เพราะติดช่วงนี้ติดที่ว่า การชี้แนะไปนี่มันต้องติดไปก่อน แต่จริง ๆ แล้วติดเพื่อการชี้แนะนี่นา ไม่ได้ติดอาจารย์เพื่อติดอาจารย์ ติดอาจารย์เพื่อเป็นทางผ่าน เหมือนกับเรือจ้างเลย เรือจ้าง เห็นไหม ครูนี่เอานักเรียนข้ามฝั่ง ๆ เหมือนเรือจ้างเลย

นี้ครูอาจารย์นี่ก็เหมือนเรือจ้างเลย แต่ยิ่งกว่าเพราะอะไร? ยิ่งกว่าเพราะว่านี่ “พ่อแม่ครูจารย์” เพราะการเอาเรือจ้างพาลูกศิษย์ข้ามฝั่งไปเฉย ๆ ข้ามฝั่ง อันนี้ก็พาข้ามโอฆะเลยนะ ข้ามพ้นไปจากโอฆะคือบ่วงของกามราคะ บ่วงของอะไร พ้นจากชีวิตไป แล้วถ้าชี้ไม่ถูกมันชี้ไม่ได้ ฉะนั้นยิ่งกว่า เห็นไหม เป็นการเลี้ยงใจ การเลี้ยงหัวใจ หัวใจจะเสพอาหารอะไร ๆ

มันของเคยใจ กิเลสมันเคยใจ มันต้องเป็นสิ่งที่เคยใจ เคยไปในหัวใจนั้น มันชอบอะไร กิเลสมีอยู่แล้ว ขั้วไฟฟ้ามันมีอยู่ในหัวใจแล้ว มันเจออะไรมันก็สปาร์คไปเรื่อย ดูดติดไปเรื่อย ๆ แล้วการชี้ออกมันลำบากตรงที่ว่า ไปค้านความเห็นของใจของเราไง ความเห็นของใจเราเคยนึกว่าเป็นความถูกต้อง แล้วนี้บอกว่าผิด ๆ แล้วมันเคยใจหนึ่ง ใจมันเคยอยู่แล้ว แล้วมันสัมผัส

แล้วพอสัมผัสมันเกิดขึ้นมา นิมิตเกิดขึ้นมานี่ จะเกิดขึ้นมาอย่างนั้นเลย เห็นจริงเลย เราถึงว่าเสียดายโอกาสตรงปัจจุบันที่ว่านี่ อาจารย์นี่โดนกระแส โดนสื่อเขาตีมาก ความจริงชีวิตชีวิตหนึ่งนะ อย่างพระพุทธเจ้านี่สร้างสมบารมีมาถึง ๔ อสงไขย แสนมหากัป ถึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วกว่าจะปลูกศรัทธาขึ้นมาได้ อย่างอาจารย์ของเรานี่ก็ปลูกศรัทธาขึ้นมาได้ ถ้าคนเห็นอย่างที่ว่าเมื่อวานนี่ ถ้าเห็นสมณะ เห็นไหม การเห็นสมณะมันชักให้มีความทำบุญด้วยความเต็มใจ นี่เจตนาอันนั้นสำคัญที่สุด

ทีนี้พอสื่อเริ่มตีขึ้นไปนี่ กิเลสในใจของเรามันเข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว คนเหมือนคน แล้วทำไมเราต้องยกมือไหว้พระ พระก็มาจากคน แต่พระนั้นสละทุกอย่างแล้ว สละสิทธิพิเศษในโลก สละสิทธิพิเศษในการครองเรือน ถ้าเป็นคฤหัสถ์มีคู่นี่เป็นเรื่องปกติ แต่พระนี่สละออกหมดเลย ถือพรหมจรรย์ สละออกทุกอย่าง

นี่เรื่องของโลกก็สละออกแล้ว แล้วเรื่องของกิเลส เรื่องของธรรมนี่ พยายามสละสิ่งนั้นออกไป ถึงว่าคนคนนั้นเหนือคนสิ เรากราบพระองค์นั้น ที่ว่ากราบพระแล้วเหมือนกราบลูกชาวบ้าน...ไม่ใช่ ถ้ากราบพระแล้วถึงพระ ถ้าอย่างนั้นแล้วเวลาเรากราบพระพุทธรูป เรากราบถึงทองเหลือง? หรือว่าเรากราบถึงคุณ หรือพุทธคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? ถ้าเรากราบถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบพระถึงพระ ถ้าเรากราบแต่ว่ามีกิริยากราบกับพระพุทธรูปนั้น คือกราบทองเหลืองเฉย ๆ

นี้ก็เหมือนกัน กราบพระต้องถึงพระสิ กราบพระไม่ถึงลูกชาวบ้านหรอก ลูกชาวบ้านนั้นก็ต้องอยู่ที่บ้านสิ นี่ลูกศิษย์ ลูกตถาคต ศากยบุตร ได้บวชถูกต้องตามสมมุติ ตามวินัย จตุตถกรรม ญัตติยกขึ้น สงฆ์นั้นยกขึ้น ยกปุถุชน ยกคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ยกขึ้นมาเป็นพระ ก็เหมือนกับคลอดออกมาจากครรภ์คือโบสถ์ โบสถ์นี้เป็นวิสุงคามสีมา เป็นที่ว่าง แม้แต่กษัตริย์จะเอาคืนก็ไม่ได้ ต้องออกกฎหมายเอาคืน เป็นพื้นที่ที่ว่าไม่มีใครเข้าไปมีสิทธิ์ มันเป็นของกลาง แล้วผุดขึ้นมาจากท่ามกลางวิสุงคามสีมานั้น เป็นสงฆ์ขึ้นมาโดยสมมุติสงฆ์สมบูรณ์แบบขึ้นมา

ถ้าเรากราบตรงนี้ เรากราบพระมันก็ถึงพระ กราบพระแล้วไม่ถึงลูกชาวบ้านหรอก กราบพระต้องถึงพระ แต่เพราะใจบอกว่าเหมือนกับกราบพระพุทธรูป กราบทองเหลือง ตั้งใจว่ากราบทองเหลืองก็ถึงทองเหลือง ตั้งใจว่ากราบพุทธคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบแล้วถึงใจของเรา ใจเราต้องถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเด็ดขาด

นี่พุทธคุณปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า เมตตาท่วมโลกท่วมสงสาร แต่เราไม่เปิดใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ ที่ว่าเทศน์แล้วเหมือนกับหงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น นี่ไง ถ้าใจเปิด เห็นไหม ก็กราบถึงพุทธคุณ ใจมันคว่ำอยู่ ใจไม่ยอมรับ ใจมันปิดอยู่ มันก็กราบถึงทองเหลืองน่ะสิ กราบอะไรกันพ่อแม่เวลาลูกว่ากันนี่ เรากราบทำไมทองเหลือง กราบทำไม...

ไม่ได้กราบทองเหลือง นี้รูปเคารพ นี่สมมุติ เพียงแต่อันนี้กราบขึ้นมา เวลาพระไปธุดงค์ในป่าไม่มีพระพุทธรูป กราบอะไร? ก็กราบเห็นไหม อย่างเอาพุทธคุณ เอาคุณเอาเมตตาคุณของท่านขึ้นเป็นที่สมมุติแล้วกราบ กราบตรงนั้น ก็เหมือนกัน กราบที่ใจเหมือนกัน ใจกราบออกไปมันย้อนกลับมาที่ใจ มันสดชื่น มันแจ่มใส มันพอใจ มันซึ้งถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเรากราบไป

นี่เหมือนกับที่เราทำสมาธิกันนี่ พุทโธ ๆ ๆ พอจิตสงบเข้ามา ใครถึงใคร ถึงพุทโธเห็นไหม พุทโธอยู่ที่ไหน? พุทโธอยู่ที่ผู้รู้ ผู้รู้คือหัวใจของเรา กำหนดพุทโธเข้าไป พุทโธ พุทธะ พุทธะอยู่ที่ใจ ย้อนกลับมาถึงหัวใจของเรา ก็ถึงพระพุทธเจ้า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” นี่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ โดยธรรมชาติเลย ผู้ใดย้อนเข้าถึงต้นขั้วของความคิดของตัวเองนั้น คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมันถึงจะซึ้งใจ อ๋อ ๆ ๆ ไปนะ

แล้วยิ่งละกิเลสออกไปเป็นชั้น ๆ เข้าไปนี่ ผู้ใดเห็นธรรม เห็นตถาคต ยิ่งเห็นเข้าไปเรื่อย ๆ จนเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน ฉะนั้น พระอรหันต์ถึงเสมอกันทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นศาสดาด้วย เพราะไม่มีใครเป็นครูสอน ค้นคว้ามาได้เอง พระสารีบุตร พระยสะ เห็นไหม เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ความเป็นพระอรหันต์นี่เสมอกัน เสมอกันด้วยใจอันนั้น

ถึงบอกว่าเท่ากัน เหมือนกัน แต่ไม่ใช่การวัดรอยเท้า ถ้าเป็นการวัดรอยเท้ามันเป็นการตีเสมอ การตีเสมอนั้นเป็นกิเลสทั้งหมด แต่ความจริงเหมือนกันนั้นยิ่งเคารพกันเพราะว่ายิ่งซึ้งใจ ซึ้งใจอันนั้นมาก ถึงว่าอันนั้นเป็นความเสมอภาคเหมือนกัน นี่ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” มันถึงเห็นจริง ๆ เห็นตามความเป็นจริงอันนั้นเลย

นี่เริ่มต้นจากทำบุญกุศลไง เจตนานี่สำคัญที่สุดนะ เป็นอาการของใจ เกิดที่ใจ สติเหมือนกัน สติเกิดจากใจไม่ใช่ใจ เกิดจากใจ เห็นไหม เกิดขึ้นมา ระลึกขึ้นมา ๆ แล้วก็หายไป เกิดดับ ๆ อยู่ที่ใจ เหมือนแขกจรมา ทำจนเป็นเนื้อเดียวกัน พุทโธทีแรกก็พุทโธนึกไม่ได้ ๆ นึกไปเรื่อย ๆ พุทโธ ๆ พุทโธกับใจจนเป็นเนื้อเดียวกัน พอเป็นเนื้อเดียวกันมันก็เป็นตัวของใจ เป็นตัวเรา

เราไม่เคยเห็นว่าเราอยู่ที่ไหนเลย เราชื่อนาย ก. นาย ข. นี่ เป็นเรานี่สมมุติทั้งหมด ไม่เคยเห็นตัวตนของตัวเอง พอจับเข้าไปนี่ ตัวนั้นน่ะตัวตน ตัวนั้นตัวมานะ ตัวนั้นคือตัวใหญ่ ตัวนั้นคือตัวใจของเรา นั่นน่ะตัวตน อัตตาเต็ม ๆ เลย แล้วค่อยแก้ไขแยกออก ๆ จนอัตตาก็ต้องหมดไป อนัตตาเป็นทางผ่าน อัตตาแปรสภาพนั่นคืออนัตตา แปรไปแปรไป จนถึงที่สุด อันนั้นก็เป็นพุทธะจริง “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

นี่เกิดขึ้นมาจากเราการกระทำ เกิดขึ้นมาจากเมตตา เกิดขึ้นมาจากเจตนา จากของที่คว่ำอยู่ไง ถ้าคว่ำอยู่อย่างที่ว่าเมื่อกี้นั้นจริง ๆ คว่ำอยู่แล้วไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้นเลย กราบพระยังว่าเป็นทองเหลืองนะ ทั้ง ๆ ที่ว่ากราบไม่ถึงพระ นี่ใจมืดใจบอดเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าใจคนซึ้งใจ กราบทีไรมันนึกถึงคุณ ถ้าไม่มีผู้ชี้นำ เหมือนเรานี่ เหมือนลูกกับพ่อแม่นี่ ไม่มีพ่อแม่เราเกิดมาได้อย่างไร ไม่มีครูบาอาจารย์สอนเราจะรู้ได้อย่างไร ทำไมมันจะไม่ซึ้งใจ พ่อแม่ด้วยสัญชาตญาณนี่เราเคารพโดยธรรมชาติเลย พ่อแม่จะดุขนาดไหนเราก็เคารพพ่อแม่ของเรา เรารักพ่อแม่ของเรา รักจริง ๆ

นี่มันเป็นธรรมชาติ ผู้ที่เข้าถึงธรรมก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติถึงการกราบ มันถึงได้กราบด้วยความซึ้งใจ กับถ้าของมันคว่ำอยู่ คุณพ่อแม่ก็ไม่เห็น พ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่ไป เราก็เป็นเรา ต่างคนต่างอยู่ นี่คว่ำหัวใจ มันเลยกราบถึงทองเหลืองไง กราบถึงทองเหลืองเพราะใจหยาบ ใจคนคนนั้นหยาบเอง จะโทษธรรมไม่ได้ ธรรมเป็นของที่ละเอียดอ่อนมาก เข้าถึงดวงใจได้หมด แต่กิเลสมันบังไว้ มันปิดมันไว้ มันถึงคว่ำไว้ มันเลยมองไม่เห็น เอวัง